ประวัติ ของ คิตางาวะ อูตามาโระ

รายละเอียดของชีวิตของอูตามาโระมีเพียงจำกัด และเท่าที่มีอยู่แต่ละฉบับก็มีข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตและอาชีพที่แตกต่างกันออกไป

หลักฐานหลายหลักฐานอ้างว่าอูตามาโระถ้าไม่เกิดที่เอโดะ (โตเกียว) ก็จะเป็นที่เกียวโต หรือไม่ก็โอซากะ (เมืองหลักสามเมืองของญี่ปุ่น) หรือไม่เช่นนั้นก็ในเมืองที่ห่างไกลออกไปแต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นที่ใด วันปีเกิดที่แท้จริงก็ไม่มีหลักฐานที่แน่นอน แต่ประมาณกันว่าราว ค.ศ. 1753 ความเชื่อกันมานานอีกอันหนึ่งคืออูตามาโระเกิดที่โยชิวาระซึ่งเป็นบริเวณของสตรีในราชสำนักของเอโดะ เป็นลูกชายชองเจ้าของร้านน้ำชา แต่ก็ไม่มีหลักฐานสนับสนุนข้อที่ว่านี้

ชื่อเมื่อเกิดของอูตามาโระคือคิตางาวะ อิจิตาโร (ญี่ปุ่น: 北川市太郎 โรมาจิKitagawa Ichitarō) ต่อมาเมื่อเติบโตขึ้นก็เปลี่ยนชื่อเป็นยูซูเกะตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันในขณะนั้น

ภาพในชุด Yamanba and Kintaro Sakazuki"ดอกไม้แห่งเอโดะ: สตรีสาวร้องเพลงกับซามิเซ็ง", ราว ค.ศ. 1800

อูตามาโระสมรสแต่ก็ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับภรรยาหรือลูก แต่งานเขียนของอูตามาโระมีภาพของความใกล้ชิดหรือความอ่อนโยนภายในที่อยู่อาศัยของสตรีและเด็กคนเดียวกันอยู่เป็นเวลาหลายปี

โดยทั่วไปแล้วก็เชื่อกันว่าเมื่อยังเป็นเด็กอูตามาโระก็ไปเป็นลูกศิษย์ของจิตรกรโทริยามะ เซกิเอ็ง และข้อมูลบางแหล่งเชื่อว่าอูตามาโระอาจจะเป็นบุตรของโทริยามะ เซกิเอ็งด้วยก็เป็นได้ แต่ที่ทราบคืออูตามาโระพำนักอยู่ในบ้านของโทริยามะ เซกิเอ็งขณะที่เติบโตขึ้นมา และความสัมพันธ์ระหว่างจิตรกรสองคนนี้ก็ดำเนินต่อมาจนกระทั่งเซกิเอ็งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1788 เซกิเอ็งเดิมได้รับการฝึกหัดที่สำนักศิลปินคาโน แต่เมื่อมีอายุในวัยกลางคนเซกิเอ็งก็หันไปหาการวาดภาพอูกิโยะซึ่งเป็นภาพประเภทหนึ่งของภาพพิมพ์แกะไม้ เซกิเอ็งมีลูกศิษย์หลายคนแต่ก็ไม่มีผู้ใดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก

ในปี ค.ศ. 1775 เมื่ออายุได้ราว 22 ปีอูตามาโระก็สร้างงานชิ้นสำคัญชิ้นแรกเท่าที่ทราบ เป็นหน้าปกสำหรับละครคาบูกิโดยใช้ชื่อศิลปินหรือโกว่า "โทโยอากิ" (ญี่ปุ่น: 豊章 โรมาจิToyoaki) หลังจากนั้นอูตามาโระก็สร้างงานภาพพิมพ์สำหรับนักแสดงและนักรบ, โปรแกรมละคร และ ภาพอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ต้งแต่ฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1781 อูตามาโระก็เปลี่ยน "โก" ใหม่เป็น "อูตามาโระ" และเริ่มออกแบบภาพพิมพ์แกะไม้ของสตรี แต่งานในระยะแรกไม่ถือว่ามีคุณภาพดีเท่าใดนัก

ระหว่างกลางคริสต์ทศวรรษ 1780 ซึ่งอาจจะราว ค.ศ. 1783 อูตามาโระก็ไปอยู่กับสึตายะ จูซาบูโร ผู้พิมพ์ที่เพิ่งเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา เชื่อว่าราวห้าปีและดูเหมือนว่าจะกลายเป็นศิลปินเอกของสำนักพิมพ์ จากหลักฐานก็ดูเหมือนว่าจะผลิตงานอย่างไม่ค่อยสม่ำเสมอนัก ที่เป็นภาพประกอบหนังสือ "เกียวกะ" (kyoka) หรือ "crazy verse" ซึ่งเป็นบทเขียนล้อกวีนิพนธ์คลาสสิกแบบ "วากะ" แต่งานในช่วง ค.ศ. 1790 ถึง ค.ศ. 1792 ไม่มีหลงเหลืออยู่ให้เห็น

ราว ค.ศ. 1791 อูตามาโระก็เลิกออกแบบงานพิมพ์สำหรับหนังสือ และหันไปตั้งใจเขียนภาพเหมือนสตรีครึ่งตัว แทนที่จะเป็นภาพสตรีเป็นกลุ่มซึ่งนิยมเขียนกันโดยศิลปินอูกิโยะคนอื่น ในปี ค.ศ. 1793 ชื่อเสียงของอูตามาโระก็เริ่มเป็นที่รู้จัก ความสัมพันธ์กับสำนักพิมพ์กึ่งเฉพาะกับสึตายะ จูซาบูโรก็สิ้นสุดลง และเริ่มผลิตงานชุดหลายชุดที่มีชื่อเสียงที่เป็นภาพวาดของสตรีในแขวงโยชิวาระทั้งหมด

ในปีต่อ ๆ มาอูตามาโระเขียนงานหลายเล่มที่เป็นภาพสัตว์ แมลง และภาพศึกษาธรรมชาติ และ "ชุงงะ" (shunga) หรือ "ภาพยวนอารมณ์ทางเพศ" ภาพประเภท "ชุงงะ" เป็นภาพที่เป็นที่ยอมรับกันในวัฒนธรรมญี่ปุ่นว่าเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมของมนุษย์อันเป็นธรรมชาติ และไม่ถือว่าเป็นภาพลามกเช่นในวัฒนธรรมตะวันตก และเป็นภาพที่แพร่หลายในทุกระดับชั้นของสังคมญี่ปุ่น

ในปี ค.ศ. 1797 สึตายะ จูซาบูโรเสียชีวิตลง และดูเหมือนว่าสร้างความสะเทือนใจให้แก่อูตามาโระที่ต้องมาสูญเสียเพื่อนและผู้สนับสนุนที่รู้จักกันมานาน บางความเห็นกล่าวว่าตั้งแต่บัดนั้นผลงานก็ไม่เคยขึ้นถึงขั้นที่เคยเขียนมาก่อนหน้านั้น

ในปี ค.ศ. 1804 เมื่ออยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จสูงสุดอูตามาโระประสบกับปัญหาทางกฎหมายเมื่อไปพิมพ์งานที่เกี่ยวกับนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่ต้องห้ามชื่อ "ฮิเดโยชิและเมียน้อยห้าคน" ซึ่งเป็นภาพของโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (ค.ศ. 1536-ค.ศ. 1598) ผู้เป็นไดเมียวคนสำคัญกับภรรยาและเมียน้อย อูตามาโระถูกกล่าวหาว่าดูหมิ่นความมีเกียรติยศของฮิเดโยชิ และถูกลงโทษให้ใส่กุญแจมืออยู่ห้าสิบวัน (บ้างก็ว่าถูกจำขัง) หลักฐานบางแหล่งกล่าวว่าประสบการณ์นี้มีผลกระทบกระเทือนทางอารมณ์ต่ออูตามาโระเป็นอันมากและเป็นการสิ้นสุดอาชีพในฐานะศิลปิน

เพียงสองปีหลังจากนั้นอูตามาโระก็เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 เดือนเก้าของปี ค.ศ. 1806 (ปฏิทินจันทรคติ) ที่ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคมเมื่อมีอายุได้ 53 ปีที่เอโดะ